คำสอนจากปัญญาจารย์ บทที่ 12 “การดำเนินชีวิตด้วยความรับผิดชอบ”

คำสอนจากพระธรรมปัญญาจารย์ บทที่ 12

หัวข้อ “การดำเนินชีวิตด้วยความรับผิดชอบ”

โดย ศจ.วิรัช เศรษฐโสภณกุล

            ปัญญาจารย์ได้ใช้บทสุดท้ายสรุปถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของมนุษย์ พร้อมทั้งได้เตือนสอนให้รู้ว่า วันเวลาของชีวิตจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เคยเป็นอยู่ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เพราะฉะนั้นในขณะมีกำลังมีสติปัญญาดี และยังสามารถทำอะไรได้อีกมากมายให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างดีงามและทรงคุณค่า ที่สำคัญคือต้องระลึกถึงพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระผู้สร้างชีวิตของเรา และเป็นเจ้าของชีวิตของเรา หน้าที่ความรับผิดชอบของเราสรุปได้ด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า

จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์

ข้อที่ 1 ดำเนินชีวิตด้วยท่าทีสำนึกในพระคุณ

ปัญญาจารย์สรุปให้เห็นว่า ชีวิตของเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ต้องมีความสำนึกอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระเจ้าผู้ทรงเนรมิตสร้างสรรพสิ่ง และสร้างชีวิตของเราและเวลาดีที่สุดที่ระลึกถึงพระองค์นั้น คือ ปฐมวัย วัยหนุ่มสาวที่มีกำลังดี ความคิดอ่านดี และเป็นช่วงโอกาสเรียนรู้ที่ดีที่สุด ช่วงเวลาที่กำลังเจริญเติบโต ช่วงที่มีพลังสดใส ซึ่งนับเป็นการถวายสิ่งที่ดีที่สุดแด่พระเจ้า ปัญญาจารย์เตือนว่า ก่อนที่ยามทุกข์ร้อนมาถึงให้รีบทำในสิ่งที่ดีที่สุด และทรงคุณค่าของชีวิต คำว่า ก่อนที่  ใช้ 3 ครั้งเป็นการเตือนที่สำคัญ

ข้อ 2-5 ดำเนินชีวิตด้วยความเข้าใจในความยากลำบาก

ปัญญาจารย์สรุปให้เห็นว่า ชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ต้องเข้าใจและยอมรับความจริงว่า ขบวนการของชีวิตที่เมื่อผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าในหน้าที่การงาน ในเรื่องสุขภาพพลานามัย ปัญญาจารย์เปรียบชีวิตในช่วงนี้ด้วยวงจรของธรรมชาติและภาพพจน์ชีวิตที่มนุษย์โดยทั่วไปต้องพานพบ ชีวิตในยามแก่ เปรียบเหมือน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวที่อับแสง ร่างกายที่อ่อนกำลัง ตัวสั่นนอนคุดคู้ หญิงโม่เปรียบเหมือนฟันที่หลุดหายไป ผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัวหมายถึงสายตาที่เริ่มมัวแล้ว ประตูคู่ที่ปิดเสียอาจหมายถึงริมฝีปากที่ปิดเพราะไม่มีฟัน เสียงเพลงก็เพลาลงอาจหมายถึงหูที่เริ่มตึงแล้ว กลัวความสูงเพราะความแก่ชรา ต้นอัลมันด์มีดอกหมายถึงผมหงอกขาว ความคล่องตัวเหมือนตั๊กแตนกลายเป็นตั๊กแตนโมกลายเป็นภาระ ความปรารถนาที่จะทำในสิ่งที่ชอบก็ประลาตไปไม่เป็นเหมือนแต่ก่อน เพราะกำลังวังชาหมดไปแล้ว ชีวิตใกล้เข้าสู่ความตาย

ข้อ 6-8 ดำเนินชีวิตด้วยความตระหนักถึงความจริงของบั้นปลายชีวิต

ปัญญาจารย์สรุปให้เห็นว่า ชีวิตของเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ต้องตระหนักถึงความจริงของชีวิตว่าท้ายสุดก็ต้องจากโลกนี้ไป ก่อนที่สายเงินจะขาด หมายถึงใส้ตะเกียงที่หมดแล้ว ชามทองคำจะบรรลัยหมายถึงชามที่แตก หรือเหยือกน้ำที่แตก ล้อที่หักเสีย ผงคลีกลับสู่ดิน จิตวิญญาณกลับคืนสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งสิ้นต่างก็บรรยายถึงชีวิตที่ดับสูญ ปัญญาจารย์สอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงของชีวิตที่ปฏิเสธไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เป็นอนิจจังของชีวิต เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงไม่ควรยึดถือหรือยึดติดกับชีวิตบนโลกนี้

ข้อ 9-10 ดำเนินชีวิตด้วยความตั้งใจนำพระพรสู่ผู้อื่น

ปัญญาจารย์สรุปให้เห็นว่า ชีวิตของเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ต้องมีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งดีงามแก่คนรุ่นต่อไป ด้วยเหตุนี้ปัญญาจารย์จึงได้เพียรพยายามนำความรู้ที่ดีที่สุดและเที่ยงตรงที่สุดสอนแก่ประชาชนทั้งหลาย

ข้อ 11-12 ดำเนินชีวิตด้วยความยินดีในการเรียนรู้

ปัญญาจารย์สรุปให้เห็นว่าชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ต้องถ่อมใจลงยินดีที่จะเรียนรู้ความจริงของชีวิต พร้อมที่จะรับคำตักเตือนจากปราชญ์และเมษบาลที่ดูแลเขา

ข้อ 13-14 ดำเนินชีวิตด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่

ปัญญาจารย์สรุปให้เห็นว่า ชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ต้องทำหน้าที่ความรับผิดชอบของตนให้ดี และหน้าที่สำคัญของมนุษย์คือยำเกรงพระเจ้า และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะผู้เป็นเจ้าของชีวิตของเขาคือพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงนำน้ำพระทัยของพระองค์ใส่ไว้ในพระบัญญัติของพระองค์ เพื่อให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตาม ปัญญาจารย์ยังได้ชี้ให้เห็นว่า สุดท้ายมนุษย์จะอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า รับผิดชอบสิ่งที่เขาได้ทำไปบนโลกนี้ พระเจ้าจะทรงพิพากษามนุษย์ตามการกระทำของแต่ละคนเฉพาะผู้ที่มีชื่อยู่ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นที่ไม่ต้องรับการพิพากษา