คำสอนจากพระธรรมปัญญาจารย์ บทที่ 6
หัวข้อ “ภายใต้ดวงอาทิตย์…..ชีวิตก็ว่างเปล่า”
โดย ศจ.วิรัช เศรษฐโสภณกุล
ปัญญาจารย์ได้กล่าวไว้ว่าชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์ มีสิ่งที่ดูเหมือนสำคัญหรือจำเป็นสำหรับมนุษย์ แต่สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่ว่าทรัพย์สิ่งของ ชื่อเสียงเกียรติยศ ลูกหลานมากมาย อายุยืนยาว หน้าที่การงาน ความรู้และปัญญา จนกระทั้งปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่มนุษย์เข้าใจ สิ่งที่มนุษย์ปรารถนา และสิ่งที่มนุษย์คาดหวังในชีวิตอาจไม่ใช่สิ่งพระเจ้าทรงพอพระทัยและสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็ว่างเปล่าและเป็นสิ่งที่ปัญญาจารย์กล่าวไว้ว่าเป็นสิ่งสามานย์ที่ท่านได้พบเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์นี้
ข้อ 1-2 แม้มีทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์
สุดท้ายก็ว่างเปล่า
ปัญญาจารย์เน้นให้เห็นว่าทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มากมาย ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่ง จนวัตถุและชื่อเสียงทุกสิ่งที่มนุษย์ปราราถนาจะได้ ก็ได้อย่างครบครันแล้วน่าจะเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง แต่แปลกที่ผู้ได้มากลับไม่ได้ชื่นชมกับสิ่งที่ตนมี เพราะพระเจ้ามิได้ทรงโปรดให้เขาได้ชื่นใจ และก็เป็นเพราะมนุษย์เต็มไปด้วยความโลภและความหลงจึงไม่รู้จักเพียงพอ ได้แล้วไม่เคยอิ่ม มีแล้วยังไม่พึงพอใจ ยังอยากได้อยู่เรื่อยไปไม่รู้จักหยุด สุดท้ายตนเองไม่ได้เชยชม แต่คนอื่นกลับนำไปใช้นำไปเชยชม คนนอกบ้านนอกเมืองอาจหมายถึงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกหลานของเขา หรืออาจหมายถึงลูกหลานผู้สืบทอดทรัพย์สมบัติของเขาก็ได้ แต่ที่แน่นอนคือไม่ใช่ตัวเขาที่จะได้ชื่นชมในทรัพย์สมบัติที่ตนเองได้มา สุดท้ายก็ว่างเปล่าและเป็นความทุกข์ใจอย่างยิ่ง
ข้อ 3-6 แม้มีลูกเป็นร้อยคน มีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี สุดท้ายก็ว่างเปล่า
ปัญญาจารย์เน้นให้เห็นว่า ด้านวัตถุมนุษย์ไม่สามารถชื่นชมยินดีกับสิ่งที่ตนได้มา ด้านจิตใจก็เช่นเดียวกัน แม้มีลูกหลานมากมายเป็นร้อยๆคนอยู่ล้อมรอบตัว เพราะมีอายุยืนยาว แต่ด้วยจิตใจของมนุษย์ที่ไม่รู้จักเพียงพอ ชีวิตจึงวังวนอยู่กับความว่างเปล่า ท้ายสุดก็จากไปอย่างอนิจจัง ปัญญาจารย์ใช้คำว่า จิตใจของเขาหาได้อิ่มด้วยของดีไม่ ตอกย้ำให้เห็นว่ามนุษย์เองไม่รู้จักชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ แต่กลับเรียกร้อง หวังแต่ในสิ่งที่ตนเองรู้สึกไม่เพียงพอ และก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร สภาพเช่นนี้ที่ปัญญาจารย์ถึงกับกล่าวว่าเป็นความน่าสังเวชอย่างยิ่ง จนกระทั้งเปรียบให้เห็นว่าถ้าไม่เกิดมายังโลกนี้ก็ดีกว่าเกิดมาแล้วต้องอยู่ในวังวนชีวิตเช่นนี้ และเหน็บเบาๆว่า เออ แม้ว่าเขามีชีวิตอยู่พันปีทวีอีกเท่าตัว แต่ไม่ได้เห็นของดีอะไร นี่แหละชีวิตที่ว่างเปล่าและไร้ค่า
ข้อ 7-9 แม้มีหน้าที่การงานที่ดี มีปัญญาที่ยอดเยี่ยม สุดท้ายก็ว่างเปล่า
ปัญญาจารย์เน้นให้เห็นว่า แม้คนเรามีหน้าที่การงานที่ดี มีความคิดอ่านที่เป็นเลิศ แต่สิ่งสำคัญคือจิตใจ เพราะเมื่อจิตใจมนุษย์ไม่รู้จักอิ่ม สิ่งทั้งปวงที่ทำและความคิดทั้งหลายที่มีก็มีช่องโหว่ที่เกิดขึ้น แทนที่จะมีความสุขกับการทำหน้าที่การงานกลายเป็นทำเพื่อปากท้องเท่านั้น แทนที่จะใช้สติปัญญาสร้างสรรค์สิ่งดีงามกลายเป็นใช้ความเฉลียวฉลาดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ความไม่รู้จักเพียงพอของมนุษย์ได้กลายเป็นหลุมดำของชีวิตที่ทำให้เขาได้แต่โหยหาสิ่งที่ตนเองรู้สึกขาดอยู่ตลอดเวลา และบทสรุปของชีวิตมนุษย์ก็คือ สารพัดก็อนิจจัง คือกินลมกินแล้ง
ข้อ 10-12 แม้ดูเหมือนมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้น แท้จริงคือสิ่งที่เคยมีมาแล้ว สุดท้ายก็ว่างเปล่า
ปัญญาจารย์เน้นให้เห็นว่า สิ่งที่มนุษย์คิดว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ตนได้ประจักษ์หรือได้สร้างขึ้น แท้ที่จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่เคยมีมาในอดีต เพียงแต่มนุษย์ได้ตั้งชื่อขึ้นมาใหม่หรือนำสิ่งเก่ามาผสมผสานจนกลายเป็นสิ่งใหม่ อย่างไรก็ตามทุกสิ่งภายใต้ดวงอาทิตย์ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่เดิมที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่มนุษย์อย่างเพียงพออยู่แล้ว สิ่งน่าเศร้าเสียใจกลับเป็นเรื่องที่มนุษย์ได้ทำร้ายและทำลายธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างแล้วอวดอ้างว่าประสบความสำเร็จ ค้นพบสิ่งใหม่ๆบนโลกนี้
ปัญญาจารย์ใช้คำว่า ยิ่งพูดมากก็ยิ่งอนิจจังมาก เพราะมนุษย์ชอบอวดอ้างความสามารถของตนถึงขั้นโต้เถียงกับพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ สุดท้ายทุกอย่างก็ปรากฏแจ้งว่า มนุษย์ใช้วันเวลาที่มีอยู่ไปแสวงหาคำตอบที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่มนุษย์ไม่ยอมเชื่อ นับเป็นการใช้วันเวลาไปอย่างว่างเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งที่อนิจจัง
น่าสังเกตที่ทำไมมนุษย์ไม่มีความสุขกับสิ่งที่อยู่รอบตัวตามที่ปัญญาจารย์กล่าวถึง ทั้งที่เขาน่าจะชื่นชมยินดีกับสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างธรรมชาติและสิ่งสวยงามมากมายทรัพย์สิ่งของ ชื่อเสียงคุณงามความดี ชีวิตครอบครัว ลูกหลานที่มี หน้าที่การงานที่ทำ ความรู้และปัญญาที่ได้ ทั้งหมดก็เพราะมนุษย์ไม่รู้จักเพียงพอ แล้วยังชอบอวดอ้างความเก่งกาจของตน ผลสุดท้ายที่สรุปของชีวิตมนุษย์ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ก็คือ ว่างเปล่า