คำสอนจากปัญญาจารย์ บทที่ 10 “คุณค่าของสติปัญญากับความเสียหายจากความโง่เขลา”

คำสอนจากพระธรรมปัญญาจารย์  บทที่  10

หัวข้อ  “คุณค่าของสติปัญญากับความเสียหายจากความโง่เขลา”

โดย ศจ.วิรัช เศรษฐโสภณกุล

ต่อจากบทที่ 9 ปัญญาจารย์ได้สะท้อนภาพของสติปัญญาที่มีคุณค่าและสำคัญมากอย่างไร ขณะเดียวกันก็เปรียบเทียบให้เห็นว่า คนที่ขาดสติปัญญาหรือโง่เขลา แต่ชอบทำการตามใจชอบของตน แถมด้วยมีอำนาจในมืออีกต่างหาก ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายอย่างมากมายต่อสังคมและประเทศชาติ

ข้อ 1-4 สติปัญญาต้องอยู่เหนือกว่าอารมณ์

ปัญญาจารย์บรรยายให้เห็นว่า ชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมาย บางครั้งเป็นสิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยแต่เกิดผลเสียหายอย่างมากมาย เช่น เรื่องของความโง่เขลานิดหน่อยก็นำมาซึ่งความเสียหายที่ใหญ่หลวง แม้สติปัญญาก็ยังรับผลกระทบ เปรียบดังแมลงวันที่ตายในน้ำมันหอม ย่อมทำให้น้ำมันที่มีกลิ่นหอมบูดเหม็นไป นี่เป็นสิ่งเตือนใจที่ต้องระวังอย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล กระทำทุกอย่างต้องให้สติปัญญาเป็นตัวนำ ขวามือหรือมือขวาหมายถึงการปกป้องรักษาและหมายถึงเป็นผู้นำ ซ้ายมือหรือมือซ้ายหมายถึงลำดับที่รองลงมา สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ คนโง่เขลามักไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังแสดงความเขลาของตนออกไป กลับคิดว่าตนฉลาดอยู่เสมอ คนที่มีสติปัญญาจะรู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม และทำให้อารมณ์ที่ร้อนระอุของคนอื่นเย็นลงได้

ข้อ 5-7 สติปัญญาพร้อมที่จะอดทนต่อสิ่งสามานย์ได้

ปัญญาจารย์บรรยายให้เห็นว่า ชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าสามานย์ ปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้พบเห็นแล้วเกิดความสมเพช ลำบากใจ หรือเศร้าโศกเสียใจ สิ่งสามานย์ที่ปัญญาจารย์พูดถึง คือ คนเขลาได้รับตำแหน่งสูง คนมั่งคั่งได้รับตำแหน่งต่ำต้อย(คนมั่งคั่งในที่นี้หมายถึงคนมีปัญญา) ทาสได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ เจ้านายกลับกลายเป็นดั่งทาส ปัญญาจารย์ต้องการสะท้อนภาพให้เห็นว่าแม้มีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ซึ่งจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คนที่มีสติปัญญาเข้าใจสิ่งสามานย์เหล่านี้ได้ และก็อดทนที่เห็นสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้น

 ข้อ 8-11 สติปัญญาย่อมนำมาซึ่งผลสำเร็จ

ปัญญาจารย์บรรยายให้เห็นว่า ชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ มีผลจากการกระทำที่ทุกคนต้องยอมรับและดิ้นรนต่อสู้ แน่นอนคนที่ให้สติปัญญานำพาชีวิต กระทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เขาก็จะประสบความสำเร็จ แต่คนที่คิดว่าตนฉลาดทำอะไรก็มักง่ายไม่เพียงงานไม่สำเร็จยังต้องพบปัญหาที่เกิดจากการกระทำของตน เช่น ขวานทื่อแล้ว เขาไม่ลับให้คมก่อนผ่าฟืน เขาก็ต้องออกแรงมาก แต่คนที่มีสติปัญญาย่อมรู้จักเตรียมการอย่างดี จึงประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

ข้อ 12-15 สติปัญญาให้สิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิต

ปัญญาจารย์บรรยายให้เห็นว่าชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้มีปัญหามาก มายเกิดขึ้นจากวาจาที่ไม่เหมาะสม เหมือนดั่งในพระธรรมสุภาษิต 10:14 ได้กล่าวไว้ว่าปราชญ์ก็ส่ำสมความรู้ไว้ แต่ปากของคนโง่นำความย่อยยับมาใกล้ วาจาที่เผาผลาญตนเอง วาจาที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือบ้าบออย่างร้าย วาจาที่อวดอ้างทั้งที่ไม่รู้อนาคตข้างหน้าวาจาที่ซ้ำซากไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ปัญญาจารย์สะท้อนให้เห็นว่า วาจาเช่นนี้ไร้ค่าสิ้นดี แตกต่างจากถ้อยคำที่มาจากปากของผู้มีสติปัญญา ไม่เพียงมีสาระสมควรแก่การฟัง ยังให้คุณค่าแก่การดำรงชีวิตให้ดีงาม ทวีปัญญามีคุณค่าแก่การนำไปใช้

ข้อ 16-20 สติปัญญามีหน้าที่ปกป้องดูแลบ้านเมือง

ปัญญาจารย์บรรยายให้เห็นว่า ชีวิตของคนเราภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ มีบทบาทและหน้าที่มากมายที่เราต้องร่วมรับผิดชอบต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ เมื่อผู้นำประเทศขาดความรู้ ขุนนางทั้งหลายได้แต่แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน มีการเลี้ยงสนุกสนานแต่เช้า ผลที่ตามมาคือความวิบัติเกิดแก่บ้านเมืองนั้น แต่เมื่อผู้นำมีสติปัญญาปกครองบ้านเมืองอย่างดี แม้มีการเลี้ยงก็เป็นไปอย่างถูกต้องตามกาละเทศะ บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ประชาชนก็จะดำเนินชีวิตอย่างดีงามตามแบบอย่างของผู้นำที่ดี ปัญญาจารย์ได้สะท้อนให้เห็นว่า สติปัญญามีบทบาทหน้าที่สำคัญยิ่งสำหรับการปกครองบ้าน เมือง ท้ายสุดปัญญาจารย์เตือนว่าอย่ากล่าวตำหนิผู้อื่น เพราะสิ่งที่กล่าวออกไปย่อมนำมาซึ่งผลเสียต่อผู้อื่นและต่อตนเอง