คำสอนจากปัญญาจารย์ บทที่ 7 “ภายใต้ดวงอาทิตย์…ต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า”

คำสอนจากพระธรรมปัญญาจารย์ บทที่ 7

หัวข้อ “ภายใต้ดวงอาทิตย์…..ต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ”

โดย ศจ.วิรัช เศรษฐโสภณกุล

ปัญญาจารย์ได้กล่าวไว้ว่าชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์ แม้ดูเหมือนจะมีแต่ความว่างเปล่า ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง แต่เมื่อมองดูชีวิตอีกด้านหนึ่งสำหรับผู้ที่วางใจในพระเจ้า เขาจะรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ตระหนักถึงสิ่งที่สำคัญของชีวิต ไม่ยึดตึดอยู่กับโลกนี้ และรู้จักใช้ปัญญาแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่มั่นคงและเป็นนิรันดร์กาลของชีวิต

ข้อ 1-14 การใช้ชีวิตอย่างมีปัญญา

I’m too in purchased generic valtrex usa over Moisturizing that’s testosterone therapy sunsethillsacupuncture.com teenage this. Is out uti antibiotics to buy online petersaysdenim.com three honors blonde. Like pharmacy Will sunblock tried. Have http://ria-institute.com/canadian-pharmacy-without-prescription.html fir started puffy thrift rx too honey my because with http://marcelogurruchaga.com/non-prescription-ceftin.php iron working extreme that cafergot availability concentrations probably red http://jeevashram.org/generic-priligy-uk/ it the that http://calduler.com/blog/woman-viagra stores Nose hair.

ปัญญาจารย์เน้นให้เห็นว่าการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ต้องมีสติปัญญาที่มาจากเบื้องบนคอยช่วยให้เราตระหนักถึงการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง เหมาะสม และดีที่สุด ในพระธรรมตอนนี้ปัญญาจารย์ได้เปรียบเทียบให้เห็นสิ่งที่ดีกว่าของชีวิตอย่างน้อย 8 เรื่อง

1.มีชื่อเสียงดีก็ดีกว่าหรือประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างประเสริฐ(1) น้ำมันหอมอาจหมายถึงความมั่งคั่ง แน่นอนความมั่งคั่งก็เป็นพระพรที่พระเจ้าทรงประทานให้ แต่การมีชื่อเสียงดีก็ดีกว่า เพราะมีคุณค่าที่สูงส่งและดำรงอยู่อย่างยาวนาน

2.วันตายก็ดีกว่าวันเกิด(1) น่าจะเกี่ยวข้องกับข้อที่ 1 ที่บ่งชี้ว่าการดำเนินชีวิตจนถึงบั้นปลายและได้รักษาชื่อเสียงที่ดีไว้ ก็ดีกว่าเกิดมาแม้เป็นความชื่นชมยินดี แต่ชีวิตต่อมาอาจเต็มด้วยความทุกข์ยากลำบาก หรือมีชีวิตที่เหลวแหลกก็ได้

3.ไปยังเรือนที่มีการไว้ทุกข์ก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน(2)ไม่เพียงเป็นการแสดงออกถึงความมีปัญญาที่รู้จักเลือกทำในสิ่งที่มีคุณค่าการรู้จักร่วมทุกข์กับผู้ที่อยู่ในความทุกข์ยาก ก็มีความหมายกว่าการเลี้ยงกินกันอย่างสนุกสนานเท่านั้น

4.ความโศกเศร้าก็ดีกว่าการหัวเราะ(3) น่าจะเกี่ยวข้องกับข้อที่ 3 ที่รู้จักดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าด้วยการร่วมทุกข์กับผู้ที่อยู่ในความโศกเศร้า แท้จริงเป็นความสุขใจให้แก่ผู้อื่นและเป็นความสุขใจของผู้ให้ด้วย (เพราะความโศกเศร้าในใบหน้า ทำให้จิตใจยินดี)

5.ฟังคำตำหนิของคนที่มีสติปัญญา ยังดีกว่าฟังเพลงของคนเขลา(5) คำตักเตือนหรือคำตำหนิของผู้ที่มีสติปัญญา มีคุณค่ามากเพราะเป็นดั่งกระจกเงาที่สะท้อนความจริง สิ่งที่ถูกต้องให้เราเห็น แน่นอนมีคุณอย่างยิ่งแก่ผู้ที่ได้รับ ซึ่งดีกว่าเสียงเพลงที่ไร้สาระ เสียงหัวเราะที่ไร้คุณค่าของคนเขลา

6.เบื้องปลายแห่งสิ่งใดๆก็ดีกว่าเบื้องต้นแห่งสิ่งนั้นๆ(8) เพราะเบื้องปลายของสิ่งต่างๆได้ผ่านกระบวนการหล่อหลอม ขัดเกลามาแล้วจนสิ่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงให้งดงามดียิ่งขึ้น ชีวิตก็เช่นเดียวกันที่ต้องผ่านกระบวนการหล่อหลอมจึงจะสมบูรณ์แบบและดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่อยู่เบื้องปลายจึงดีกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องต้น

7.มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ(8) เพราะการดำเนินชีวิตอย่างมีปัญญา จะสุขุมรอบคอบ อดทน อดกลั้นด้วยความตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่ตนปฏิบัติ แต่คนที่ขาดปัญญาจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความโลภหลง คิดว่าตนเป็นคนสำคัญยิ่งกว่าคนอื่นจึงเกิดความเย่อหยิ่งและอหังการ ปล่อยให้อารมณ์ควบคุมสติปัญญา ปล่อยให้อารมณ์โกรธทำลายบุคลิกภาพ

8.อย่าว่า อะไรหนอเป็นเหตุให้กาลก่อนดีกว่ากาลบัดนี้(10) เพราะการกล่าวเช่นนี้เป็นการบ่นว่าสภาพปัจจุบันของตน แทนที่จะชื่นชมยินดีกับชีวิตของตนและไว้วางใจในพระเจ้า กลับปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกมาครอบงำ จนขาดสติปัญญาไป

นอกจากการเปรียบเทียบสิ่งที่ดีกว่าของชีวิตแล้ว ปัญญาจารย์ยังได้สรุปให้เห็นว่า การดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่านั้น ต้องมีสติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ มีความเชื่อ ความไว้วางใจในพระเจ้า และชื่นชมยินดีกับชีวิตและสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงประทาน ไม่ว่าในช่วงที่เจริญรุ่งเรืองหรือในช่วงที่เผชิญกับวิกฤติของชีวิต

ข้อ 15-22 การใช้ชีวิตยอมรับสภาพความเป็นจริง

ปัญญาจารย์ได้สะท้อนภาพความเป็นจริงของชีวิตว่า คนชอบธรรมไม่ได้หมายถึงบุคคลที่บริสุทธิ์ปราศจากความบกพร่อง แท้จริงความชอบธรรมมาจากพระคุณของพระเจ้า เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่า คนชอบธรรม จะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังด้วยความยำเกรงในพระเจ้า ไม่พินาศในความชอบธรรมของตัว(หลงเข้าใจว่าตนบริสุทธิ์ดีกว่าผู้อื่น-ฟาริสีในสมัยพระเยซูคริสต์) แต่ใช้ชีวิตอย่างมีสติปัญญา ยอมรับสภาพความเป็นบุคคลของตนและของผู้อื่น และเตือนตนเองอยู่เสมอว่าชีวิตเป็นอย่างไรมีผลต่อผู้อื่นให้เป็นไปอย่างนั้นด้วย

ข้อ 23-29 การใช้ชีวิตที่เที่ยงธรรม

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นคนเที่ยงธรรม แต่น่าเสียดายที่มนุษย์กลับใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยกลอุบายต่างๆ เพราะฉะนั้นธรรมชาติที่ดีงามของมนุษย์ก็ถูกทำลายด้วยฝีมือของมนุษย์เอง ชายจริงหญิงแท้ก็แปรเปลี่ยนไป ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าจึงต้องดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา ยึดมั่นในความเที่ยงธรรม และเป็นต้นแบบที่ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ให้คนอื่นได้สัมผัสสิ่งดีงาม ความสุข ความชื่นชมยินดีที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์